สโมสรลิเวอร์พูล : Liverpool ฉายา “The Reds” ทีมฟุตบอลในประเทศไทยเราได้ตั้งฉายาให้กับทีมนี้ว่า “หงส์แดง” เป็นทีมในลีกของประเทศอังกฤษซึ่งในตอนนี้ก็ยังคงเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีกที่ถือได้ว่าลึกสูงสุดของประเทศ เป็นอีกหนึ่งทีมที่ถือได้ว่ามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
ลิเวอร์พูล ถูกก่อตั้งขึ้นมาเมื่อวันที่ 3 มิ.ย ค.ศ. 1982 ที่ทางด้านของ จอห์น ฮูลดิ้ง ผู้ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ในเมืองลิเวอร์พูลเป็นผู้ก่อตั้งทีมนี้ขึ้นมา ทั้งนี้ในขณะนี้ได้มีเฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจากสหรัฐฯ เป็นเจ้าของสโมสร โดยมีทางด้านของ ทอม วอร์เนอร์ ขึ้นแท่นเป็นประธานสโมสร
ก่อนหน้านี้ได้มีข่าวลือออกมาต่าง ๆ นานาว่าทีมจะถูกขายแต่ในที่สุดแล้วทางเจ้าของก็ได้มีการออกมาเผยว่า…ไม่ได้มีความคิดที่จะขายในตอนนี้อย่างแน่นอน ในช่วงปี 1970-1980 ซึ่งถือได้ว่าเป็นยุคที่สโมสรเฟื่องฟูถึงขีดสุดโดยมี บิลล์ แซงคลี และบอบ เพลลสลีย์ เป็นผู้จัดการทีมซึ่งทั้งสองคนนี้เป็นหัวหอกที่ทำให้ทีมสามารถคว้าแชมป์ลีกมาได้ถึง 11 สมัยด้วยกัน
ยิ่งไปกว่านั้นยังพาเหล่ากองทัพนักเตะในช่วงนั้นกวาดถ้วยรางวัลในรายการยูโรเปียนมาได้ถึง 7 ใบอีกด้วย เรียกได้ว่าในยุคนั้นเป็นสโมสรที่โดดเด่นและน่าจับตามองที่สุด ภายหลังจากนั้นต่อมา ลิเวอร์พูล ก็เริ่มดาวน์ลงมาเพราะไม่สามารถที่จะคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษติดต่อกันมายาวนานเกือบ 3 ทศวรรษเลยทีเดียว โดยถ้าจะย้อนกลับไปช่วงที่ได้แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศก็คงจะเป็นเมื่อในช่วงปี 1989-90
สำหรับในปัจจุบันนี้ที่ได้ทาง เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมซึ่งก็เหมือนกับทุกคนฝากความหวังไว้กับเขาที่จะทำให้ทีมกลับมาอยู่เฟื่องฟูอีกครั้งและสร้างความสำเร็จให้กับทีมได้หรือไม่ ก็คงต้องรอดูกันต่อไป
ถ้าจะพูดถึงประวัติของทีมยักษ์หงส์แดงที่บอกเลยว่าไม่ธรรมดาเพราะสามารถคว้ารางวัลแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาแล้วทั้งหมดถึง 18 ครั้ง
- ลีกคัพได้แชมป์ทั้งหมาด 8 ครั้ง
- แชมป์ FA Cup ถ้วยเก่าแก่ที่สุดอีก 7 สมัย
- เอฟเอ แชริตี ชีลด์ ทั้งหมดถึง 15 ครั้ง
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้แฟนบอลทั่วประเทศของทีมรู้สึกพราวน์มากที่สุดก็คงจะเป็นยูโรเปียนคัพหรือยูฟ่าแชมป์เปียนลีกที่ถือได้ว่าทางลิเวอร์พูล สามารถคว้าแชมป์นี้มาได้มากกว่าทีมอื่นๆ เลยทีเดียวเพราะคว้ามาได้ทั้งหมาดถึง 5 สมัย ไม่เพียงเท่านั้นยังมีถ้วยใบเล็กอย่าง Ufa Cup ที่ได้มา 3 ครั้งและ Ufa Super Cup อีก 3 สมัยที่เรียกได้ว่าประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้เลยทีเดียว
นับตั้งแต่ในช่วงที่ได้มีการสร้างสโมสรขึ้นมาเมื่อปี 1892 มาจนถึงปัจจุบันทางด้านของทีมลิเวอร์พูล ก็ได้มีการใช้สนามแอนด์ฟิลด์เป็นสนามเหย้าของทีมมาโดยตลอด โดยสนามได้สร้างขึ้นเมื่อปี 1884 ซึ่งถ้าย้อนกลับไปในอดีตสนามแห่งนี้ได้เคยเป็นสนามของทีมเอฟเวอร์ตันอีกด้วยแต่หลังภายหลังต่อมาทีมเอฟเวอร์ตันได้มีปัญหาเกี่ยวกับค่าเช่าสนามจึงได้ย้ายกลับไปอยู่สนามที่กูดิสัน พาร์ค
สำหรับผู้ก่อตั้งสโมสรได้แก่ จอห์น โอลดิ้ง ที่ได้มีการตั้งชื่อสโมสรโดยการนำเอาชื่อเมืองมาใช้จนได้มาเป็นชื่อ สโมสรลิเวอร์พูลนั่นเอง โดยสนามนี้สามารถจุผู้ชมได้มากกว่า 2 หมื่นคนเลยทีเดียวแต่ถ้าย้อนกลับไปดูในการลงเตะครั้งแรกของ Liverpool ที่สนามแห่งนี้ที่มีแฟนบอลเข้ามาเพียงแค่ 100 กว่าคนเท่านั้นเอง
แต่ทั้งนี้เรียกได้ว่ามีการพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสนามมาโดยตลอดซึ่งปัจจุบันนี้สามารถจุคนได้มากถึง 54,074 ที่นั่งและทางด้านของเจ้าของเองก็ยังไม่หยุดยั้งที่จะอัพเกรดสนามให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นเพราะเขาก็ยังคงมีการวางแพลนที่จะปรับปรุงสนามให้จุผู้ชมได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
อย่างที่ทราบกันดีว่าสัญลักษณ์ของสโมสรลิเวอร์พูลที่จะเป็น นก ลิเวอร์เบิร์ด (Liverbird) ซึ่งเป็นนกที่อยู่ในแถบทะเลไอริซ ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าที่ปากของนกจะคาบใบไม้เอาไว้ ซึ่งมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าผู้ออกแบบสัญลักษณ์นี้คาดว่าน่าจะพยายามทำให้เป็นนกอินทรีแต่เกิดความผิดพลาดที่ทำให้กลายมาเป็นนกชนิดนี้นั่นเอง
ถ้าย้อนกลับไปได้มีการเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์มาแล้วถึง 6 รูปแบบด้วยกันและก่อนหน้าที่จะมาเป็นสัญลักษณ์ปัจจุบัน โดยทางสโมสรได้ใช้ 2 แบบจึงนับได้ว่ามีตราสโมสรมาแล้วทั้งหมด 8 แบบ จนเมื่อปี 1922 สัญลักษณ์นี้ได้ปรากฎบนธงที่ใช้ในการเฉลิมฉลองชัยชนะแชมป์ลีกและในปี 1930 ได้มีภาพของนักเตะลิเวอร์พูลสวมเสื้อวอร์มซึ่งในเสื้อนั้นจะมีสัญลักษณ์นก liverbird ปักอยู่บนหน้าอก
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งในปี 1950 ที่ทางสโมสรลิเวอร์พูล ได้สามารถเข้าไปชิงแชมป์ถ้วย FA Cup เป็นครั้งที่ 2 รวมไปถึงยังเป็นครั้งแรกที่ทีมได้ลงแข่งขันที่สนามเวมบลีย์ ที่เรียกได้ว่าเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ของสโมสรเลยทีเดียวโดยที่ตราสัญลักษณ์ Liverbird ได้ยืนสง่างามอยู่บริเวณตรงกลางและถูกล้อมกรอบด้วยโล่สีแดงได้ที่มีการนำไปปักลงบนเสื้อชุดทีมเยือน สีขาว และครั้งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของชาวลิเวอร์พูลเป็นอย่างมาก
ต่อมาในปี 1955-56 ตราสัญลักษณ์ Liverbird ก็ได้มีการถูกนำไปปักบนเสื้อแข่งชุดเหย้าของทีมเป็นครั้งแรกอีกด้วยและครั้งนี้เองที่ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิมด้วยการเปลี่ยนมาเป็น Liverbird สีแดงโดยที่นกยืนสง่างามอยู่ตรงกลางและยังมีการเพิ่มตัวอักษรย่อสโมสร L.F.C ลงไปอีกโดยตรานี้ได้มีการใช้มากว่า 14 ปี
เมื่อปี 1965 ในรอบนัดชิงชนะเลิศตราสัญลักษณ์ได้มีการถูกปักลงบนเสื้อแทนการเย็บตรานั่นเอง จนกระทั่งเมื่อปี 1969 ที่นก Liverbird ได้ถูกนำมายืนโดดเด่นเป็นสง่าบนตัวย่อชื่อสโมสรบนเสื้อทีมแบบเดี่ยวเป็นครั้งแรกซึ่งก็นับว่าเป็นการเปิดตัวที่ดีที่ในครั้งนี้ทีมสามารถคว้าชัยชนะเชลซีไปได้ถึง 4-1 จากนั้นก็มีการใช้ตราสัญลักษณ์นี้มาโดยตลอดยาวนานถึง 2 ทศวรรษ
จากนั้นมาถึงในช่วงปีที่เรียกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างมากมายที่เกิดขึ้นกับสโมสรในปี 1987 ที่รวมไปถึงสัญลักษณ์สโมสรด้วยนั่นเองที่ได้มีการตัดอักษรย่อ L.F.C ออกไปแต่มีการใส่ชื่อทีมตัวเต็มแทนที่ซึ่งก็ได้ใช้ตราสัญลักษณ์นี้มาโดยตลอดจนถึงปี 2012 ที่ได้มีการนำเอาตราสัญลักษณ์ของ Liverbird สีเหลืองมาใช้อีกครั้งบนอกเสื้อชุดแข่งปี 1992
สำหรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ก็เพื่อเป็นเกียรติให้แก่การฉลองครบ 100 ปีของทีมนั่นเอง ซึ่งถือได้ว่าตราสัญลักษณ์ในปัจจุบันมี 2 แบบด้วยกันนั่นก็คือ ตราที่ได้มีการเริ่มใช้ในปี 1999 และอีกตราหนึ่งก็คือตราที่คล้ายกันกับปี 1968 ที่ใช้เพียง Liverbird ยืนโดดเด่นเป็นสง่าพร้อมกับตัวย่อสโมสร L.F.C ที่เปลี่ยนไปเพียงแค่สองตราสัญลักษณ์ที่ใช้มาจนถึงในยุคนี้
ถ้าจะกล่าวถึงสปอนเซอร์ของสโมสรลิเวอร์พูล ที่นับตั้งแต่ในปี 1979 ภายหลังจากที่สโมสรได้ทำการตกลงทำสัญญากับทางบริษัท Hitachi บริษัทที่โด่งดังในประเทศญี่ปุ่น ที่มีความต้องการอยากจะขยายตลาดสินค้าไปยังแถบประเทศในยุโรป
จากนั้นต่อมาสโมสรลิเวอร์พูล ก็เรียกได้ว่ามีหลากหลายผู้สนับสนุนที่ได้เข้ามาทำสัญญากับสโมสรรวมไปถึง Candy , Crown Paints , เบียร์คาร์ลสเบิร์ก , ธ.แสตนดาร์ดชาร์เตอร์ ที่ได้เข้ามาร่วมเป็นสปอร์นเซอร์ของทีมด้วย
ในปี 1992 ทางลิเวอร์พูล ได้มีโอกาสเซ็นสัญญากับทาง บริษัท เบียร์คาร์ลสเบิร์ก ที่นับได้ว่าเป็นสปอร์นเซอร์ที่สามารถเซ็นสัญญากับทีมได้ยาวนานที่สุดจนสัญญาได้สิ้นสุดลงเมื่อช่วง 2010-11 ที่มีทางด้านของ ธ.แสตนดาร์ดชาร์เตอร์ มาเป็นสปอร์นเซอร์แทนจนกระทั่งมาถึงในยุคปัจจุบัน
ในช่วงฤดูกาล 2009-10 ลิเวอร์พูล อยู่ในขั้นที่ฟอร์มตกเป็นอย่างมากจนมาจบในอันดับที่ 7 ในพรีเมียร์ลีกจนทำให้ทีมไม่สามารถไปร่วมแข่งขันในรายการ ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกได้ที่ทำเอาแฟนคลับต่างก็ผิดหวังอย่างหนักรวมไปถึงส่งผลให้ทางเบนิเตซต้องจำใจลาออกจากตำแหน่งและได้ทาง รอย ฮอดจ์สัน อดีต ผจก.ทีมฟูแลมเข้ามาแทน
ในช่วงนี้ถือได้ว่ามีข่าวไม่สู้ดีนักเกี่ยวกับทีมลิเวอร์พูลออกมาตลอดเป็นระยะมาจนถึงช่วงเริ่มต้นฤดูกาล 2010-11 ที่ข่าวลือหนักว่าสโมสรเสี่ยงที่จะล้มละลายเพราะมีหนี้สินจำนวนมหาศาล จนทำให้เจ้าของทีมบอสตัน เรด ซ็อกซ์ และนิว อิงแลนด์ สปร์อตส์ เวนเจอร์ส ได้จังหวะเข้ามาฮุบกิจการต่อแต่กลับมีเรื่องราวฟ้องร้องกันเพราะทางด้านของ ฮิคล์และยิลเล็ตต์ กลับไม่ยินยอมนั่นเอง
มาถึงในช่วงเดือน ต.ค. 2010 ที่ถือได้ว่าเป็นช่วงที่ผลการแข่งขันของทีมแย่นักกว่าเดิม ส่งผลกดดันให้ ฮอดจ์สัน ต้องลาออกและได้ทาง เคนนี ดัลกลิช มาคุมทีมอีกครั้งและก็ถือว่าเขาสามารถทำให้ทีมสำเร็จได้เพราะในฤดูกาล 2011-12 ที่เขาพาทีมคว้าแชมป์ ลีกคัพสมัยที่ 8 มาครองได้จนสิ้นสุดฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูล ก็จบไปในอันดับที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการจบอันดับที่ยอดแย่สุดในรอบประวัติศาสตร์ 18 ปีที่ผ่านมา จนทำให้ทางสโมสรได้สั่งการแบบฟ้าแลบปลด ดัลกลิช ออกและได้แต่งตั้งให้ทางอดีต ผจก.สโมสร สวอนซี ซิตี้ อย่าง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส มาร่วมเป็นแม่ทัพคนใหม่ทันที
ขอบคุณภาพ เนื้อหา
- สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล : th.wikipedia.org
-
History of Liverpool F.C. (1892–1959) :en.wikipedia.org